เดอะคิงเนเวอร์สไมลส์ (อังกฤษ: The King Never Smiles; "กษัตริย์ไม่เคยยิ้ม") เป็นหนังสือว่าด้วยพระราชประวัติอย่างไม่เป็นทางการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและราชวงศ์จักรี เขียนโดย พอล แฮนด์ลีย์ (Paul Handley) นักเขียนชาวอเมริกัน จัดพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยเยล (Yale University Press) และออกจำหน่ายครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน 2549
หนังสือนี้ทางการไทยจัดให้เป็น "หนังสือต้องห้าม" อย่างไม่เป็นทางการ ตั้งแต่ก่อนตีพิมพ์ โดยมิได้มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาตามหลักเกณฑ์และวิธีการในกฎหมายว่าด้วยการจดแจ้งการพิมพ์ ต่อมามีหนังสือกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ ตช 0016.146/289 ลงวันที่ 18 มกราคม 2551 ว่าหนังสือเล่มนี้เป็น "หนังสือต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร" และในเดือนมกราคม 2549 ทางการไทยยังได้ปิดกั้นเว็บไซต์ที่โฆษณาหรือให้บริการสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ด้วย
หนังสือเดอะคิงเนเวอร์สไมลส์นับเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มที่สองที่ว่าด้วยพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เล่มแรกชื่อ "เดอะเรวอลูเชินแนรีคิง" (อังกฤษ: The Revolutionary King; "กษัตริย์นักปฏิวัติ") เขียนโดยชาวแคนาดาชื่อ วิลเลียม สตีเวนสัน (William Stevenson) พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2544 ซึ่งไม่ผ่านการตรวจพิจารณาในประเทศไทยเช่นเดียวกัน
ในเดือนมกราคม 2549 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย อาศัยอำนาจตามคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ 5/2549 เรื่อง ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 สั่งปิดกั้นการเข้าถึงรายละเอียดของหนังสือเดอะคิงเนเวอร์สไมลส์ในเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยเยลและเว็บไซต์แอมะซอน.คอม ซึ่งโปรแกรมชี้แหล่งทรัพยากรสากลของเว็บไซต์ทั้งสองปรากฏในรายการระบบสารสนเทศที่ต้องปิดกั้นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นอย่างน้อยตั้งแต่วันที่ 11 มกราคม 2550 ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2550 จึงนำออกจากรายการ โดยพลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีแถลงการณ์ลงวันที่ 19 มกราคม 2549 ว่าหนังสือเล่มดังกล่าวมีเนื้อหาที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่ผ่านการตรวจพิจารณา ไม่อาจให้เผยแพร่ในราชอาณาจักรได้
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสั่งระงับการขายหนังสือ "อะกูป์ฟอร์เดอะริช" (อังกฤษ: A Coup for the Rich; "รัฐประหารเพื่อคนรวย") ซึ่งเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2549 และรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 เขียนโดย รองศาสตราจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยรองผู้จัดการของศูนย์หนังสือจุฬาฯ ชี้แจงว่า เพราะหนังสือดังกล่าวมีการอ้างอิงงานเขียนของพอล แฮนด์ลีย์ คือ หนังสือเล่มนี้
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ในประเทศไทยการเข้าถึงหนังสือเดอะคิงเนเวอร์สไมลส์ยังคงเป็นสิ่งต้องห้ามโดยรัฐ แต่คงปรากฏว่าผู้ใช้งานส่วนหนึ่งยังสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยเยลและเว็บไซต์แอมะซอน.คอมดังกล่าวได้ตามปกติ ขึ้นอยู่กับว่าใช้บริการของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใด
คำแนะนำหนังสือเดอะคิงเนเวอร์สไมลส์จากเว็บไซต์แอมะซอน.คอมซึ่งเว็บไซต์ประชาไทได้แปลขึ้น มีความว่า
...เป็นหนังสือที่บอกเล่าพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุยเดชในช่วงเวลาที่ทรงครองราชย์ อธิบายว่า เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบตะวันตกนั้นกลายมาเป็น 'ในหลวง' (living Buddha) ของประชาชนได้อย่างไร และในความเป็นจริงแล้ว กษัตริย์ซึ่งมีพระเมตตาและวางตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อาจเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างลึกซึ้งและมีอำนาจเด็ดขาดที่แท้จริงก็ได้
จอห์น กุลกา (John Kulka) บรรณาธิการอาวุโสของสำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยเยล กล่าวว่าหนังสือนี้เป็นหนังสือ "ชีวประวัติเชิงตีความหมาย" ("interpretive biography")
ส่วนหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ตั้งข้อสังเกตว่า หนังสือนี้ "แสดงข้อแก้ต่างอย่างตรงไปตรงมาถึงกระบวนการการที่ราชวงศ์ใช้สร้างภาพลักษณ์อย่างเป็นระบบในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา อันเป็นการฉายภาพกษัตริย์ไปไกลกว่าการเมือง บุรุษแห่งสันติภาพ ผลงานอันยิ่งใหญ่ และความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างพุทธ"
พอล แฮนด์ลีย์ ผู้เขียนหนังสือเดอะคิงเนเวอร์สไมลส์ กล่าวในนิตยสารอีโคโนมิกรีวิว (อังกฤษ: Economic Review) ว่า หนังสือเล่มนี้มีประเด็นหลักอยู่สองประเด็น ประการแรกคือเป็นเวลากว่าหกสิบปีแล้วที่สถาบันกษัตริย์สนับสนุนให้ทหารก่อการปฏิวัติล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และประการที่สองคือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ใช้กุศโลบายทางวัฒนธรรมและประเพณีไทยมาสร้างความนิยมให้แก่ตนเองภายในหมู่ชนชาวไทย ทั้งนี้เพื่อกอบกู้อำนาจของสถาบันกษัตริย์ของตนกลับคืนมา
หนังสือเดอะคิงส์เนเวอร์สไมส์ได้รับการตอบรับในเชิงบวกเป็นการทั่วไปจากหมู่นักวิจารณ์และนักวิชาการนานาชาติ ส่วนความเห็นในอินเทอร์เน็ตนั้นมีทั้งเชิงบวกและลบ
นิตยสารนิวยอร์กรีวิวออฟบุ๊กส์ (อังกฤษ: New York Review of Books) กล่าวว่าหนังสือนี้เป็น "หนังสือเล่มหนึ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับประเทศไทยเท่าที่ปรากฏอยู่ในภาษาอังกฤษ" และตั้งข้อสังเกตว่า "ความริเริ่มไม่เหมือนใครในหนังสือของแฮนด์ลีย์มีความก้าวร้าว แต่ผมคิดว่าเมื่อวิเคราะห์อย่างเป็นธรรมแล้ว เกี่ยวกับการฟื้นฟูอำนาจราชวงศ์ในสมัยของกษัตริย์ภูมิพล"
ดันแคน แมคคาร์โก (Duncan McCargo) อาจารย์จากมหาวิทยาลัยลีดส์ในประเทศอังกฤษ ผู้เขียนบทความหลายชิ้นซึ่งมีอิทธิพลต่อประเทศไทย เช่น บทความเรื่อง "เน็ตเวิร์กโมนาร์คีออฟภูมิพลแอนด์ฮีสพรอกซีส์" (อังกฤษ: network monarchy of Bhumibol and his proxies; "เครือข่ายของภูมิพลและนายหน้าตัวตายตัวแทนของพระองค์") เขียนบทวิจารณ์ไว้ในนิตยสถาน "นิวเลฟต์รีวิว" (อังกฤษ: New Left Review) ว่า หนังสือเดอะคิงเนเวอร์สไมลส์นี้เป็น "หนังสือสำคัญ" ที่ "เขียนขึ้นอย่างแตกฉานและอยู่บนพื้นฐานของการวิจัยจำนวนมาก"
ดันแคนยังกล่าวอีกว่า ในขณะที่การพิจารณาของพอล แฮนด์ลีย์ "มาจากความเข้าใจลึกซึ้งในระบอบกษัตริย์ของไทยจากนักวิชาการและนักเขียนจำนวนมาก รวมถึง คริสตีน เกรย์ (Christine Gray) กอบเกื้อ สุวรรณทัตเพียร และ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร" และการเล่าเรื่องของพอล แฮนด์ลีย์นั้น "ไปไกลกว่าตัวแปรของสิ่งตั้งต้นเหล่านี้ มันมีความเด่นชัดและเร่าร้อนเกินกว่าชีวประวัติธรรมดา ๆ ใด ๆ..." ดันแคนยกย่องพอล แฮนด์ลีย์ที่มี "ความเข้าใจถึงภูมิพลในฐานะตัวละครทางการเมือง ในฐานะสถาปนิกเอกของโครงการชั่วชีวิตที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าสถาบันกษัตริย์ที่ไม่เป็นที่นิยมและถูกทำให้ไม่มีความสำคัญ จากขอบข่ายของการเลิกล้มมากกว่าหนึ่งครั้งไปสู่องค์ประกอบที่มีอำนาจมากที่สุดหนึ่งเดียวในรัฐไทยสมัยใหม่" กับทั้งยังว่าอีกว่า พอล แฮนด์ลีย์มี "ความสามารถในการเข้าใจโดยสัญชาตญาณอย่างหลักแหลม ในเรื่องปฏิกิริยาที่เสื่อมศีลธรรมต่อกันและกัน ระหว่างเงินตราและอำนาจ และในเรื่องเกี่ยวกับการทำงานของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตถึง "ความรู้สึกร่วมอย่างชัดเจนกับสิ่งที่เขา [หมายถึงพอล แฮนด์ลีย์] ศึกษา"
ในหน้าจำหน่ายหนังสือนี้ ณ เว็บไซต์แอมะซอน.คอม ได้รับความคิดเห็นจากผู้อ่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งจำนวนหนึ่งเขียนขึ้นก่อนที่หนังสือจะตีพิมพ์ ความคิดเห็นเหล่านั้นมีตั้งแต่ยกยอไปจนถึงอาฆาตแค้น ผู้วิจารณ์บางรายกล่าวหาอย่างลอย ๆ ว่า พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้ว่าจ้างให้ผู้เขียนนั้นเขียนหนังสือเล่มนี้ แต่การวิจารณ์ที่พบบ่อยที่สุดก็คือ ชาวต่างชาตินั้นไม่สามารถเข้าใจกษัตริย์และระบอบกษัตริย์ของไทยได้
สนธิ ลิ้มทองกุล นักธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน และผู้ดำเนินรายการโทรทัศน์เชิงสนทนาซึ่งสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ วิพากษ์วิจารณ์หนังสือดังกล่าวอย่างไม่เป็นทางการว่า "เขียนจากข่าวโคมลอย" และพูดถึงผู้เขียนหนังสือว่า "ก้าวร้าว" "จาบจ้วง" "โอหัง" "ดูถูกคนเอเชีย" และ "ยโสไม่เว้นแม้กระทั่งพ่อและแม่มัน"
กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อข่าวในนิตยสารดิอีคอเนอมิสต์ (อังกฤษ: The Economist) ฉบับวันที่ 29 กรกฎาคม 2549 ซึ่งได้รายงานและคัดลอกข้อเขียนบางตอนของหนังสือเดอะคิงเนเวอร์สไมลส์ ว่า "ไม่ต้องขยายผล"
คริส เบเคอร์ นักวิชาการอิสระที่มีแหล่งพำนักในประเทศไทย ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองไทยหลายเล่ม เช่น "ทักษิณ : เดอะบีซีเนสออฟพอลิทิกส์อินไทยแลนด์" (อังกฤษ: Thaksin : The Business of Politics in Thailand) และ หนังสือ "เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ" และเป็นผู้เขียนรายงานยกย่องทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสนอต่อสหประชาชาติ ได้วิพากษ์วิจารณ์หนังสือดังกล่าวลงในนิตยสารเอเชียเซนทิเนล (อังกฤษ: Asia Sentinel) ว่า
แต่แฮนด์ลีย์พลาดประเด็นสำคัญอันหนึ่ง หรือละเว้นมันไปเพื่อความเรียบง่าย. ตั้งแต่ เหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 ส่วนสำคัญของกลุ่มชนชั้นนำและชนชั้นกลางของไทย มีความจำเป็นต้องจินตนาการให้กษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย โดยเฉพาะเพื่อต่อต้านฝ่ายทหารที่ต้องการหยุดยั้งมันลงด้วยปากกระบอกปืน และต่อต้านฝ่ายนักธุรกิจที่ต้องการล้มล้างมันด้วยเงินตรา. กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากความน่าเชื่อถือทางศีลธรรมอันยิ่งใหญ่ของระบอบกษัตริย์ โดยไม่สนใจการเมือง. พวกเขาได้สมคบกันในการเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ เพื่อสร้างภาพกษัตริย์ในฐานะผู้ทำให้เกิดสันติภาพ ในเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ พร้อมทั้งบิดเบือนเหตุการณ์ 6 ตุลา ไปในคราวเดียว และละเลยการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เพื่อทำให้ประชาธิปไตยดูเหมือนเป็นของขวัญจากราชบัลลังก์
นี่เป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เข้าใจเหตุการณ์ที่แสนสำคัญในปีที่ผ่านมา. โชคไม่ดี ส่วนเหล่านี้ของหนังสือ มีข้อผิดพลาดด้านข้อเท็จจริงและการพิจารณาที่ไม่ระมัดระวัง. ที่สำคัญกว่านั้น การวิเคราะห์ของเขาไม่สามารถทำให้เข้าใจได้ว่า ทำไมกลุ่มหลายกลุ่มถึงจำต้องฉกฉวยโอกาสจากระบอบกษัตริย์ ในฐานะฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลปัจจุบันที่ทุจริตและเผด็จการ. หนังสือของเขาตีแผ่การประชดประชันในกลุ่มผู้ต่อต้านทักษิณ แต่ในสถานการณ์การเมืองไทยที่ป่วยไข้ การบอกเป็นนัย ๆ เช่นนี้จะถูกมองข้ามไป
เป็นเวลานานเกินไปแล้ว ที่ประเด็นเรื่องระบอบกษัตริย์เป็นประเด็นอ่อนไหว ที่นักวิเคราะห์ประวัติศาสตร์และการเมืองไทยจำเป็นต้องสำรวจอย่างระมัดระวัง. ยุคสมัยนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว. ในพระราชดำรัสที่พระราชทานในวันพระราชสมภพ กษัตริย์ภูมิพลเองได้ยืนยันว่า กษัตริย์นั้นไม่ได้อยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์. หวังว่าหนังสือของแฮนด์ลีย์จะกระตุ้นให้ผู้คนที่เชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ทำวิจัยมาไม่เพียงพอและเข้าใจผิด ได้ผลิตงานประวัติศาสตร์ทางเลือกซึ่งมีความเป็นมืออาชีพอย่างน้อยก็ให้เท่ากับงานของเขา
ส่วนรองศาสตราจารย์ใจ อึ๊งภากรณ์ นักกิจกรรมทางสังคม และอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนในตอนท้ายบทวิจารณ์หนังสือเล่มดังกล่าวว่า "หนังสือเล่มนี้ไม่ควรเป็นหนังสือที่ห้ามนำเข้า ยิ่งกว่านั้นควรมีการแปลเป็นไทย เพื่อให้ประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ข้อดีข้อเสียของเล่มนี้ได้ และเพื่อให้เราสร้างความโปร่งใสและระบบตรวจสอบประมุขของไทยได้อีกด้วย"
อภิปรายถึงเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้อย่างกว้างขวางในกระดานสนทนาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
หนังสือเล่มดังกล่าว แม้จะถูกห้ามจำหน่ายในประเทศไทย แต่ก็ประความสำเร็จในด้านพาณิชย์ โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2549 พบว่ามีการพิมพ์ไปแล้วสามครั้ง และในประเทศไทยก็มีสำเนาเถื่อนของหนังสือนี้วางจำหน่ายในเขตกรุงเทพมหานคร เช่น ในย่านท่าพระจันทร์ กับทั้งมีการแปลโดยมิได้รับอนุญาตให้แปลจากเจ้าของลิขสิทธิ์และนำเผยแพร่บนเว็บไซต์หลายแห่ง